Secondary

Languages

คำถามที่พบบ่อย

วิธีการนับระยะเวลาปลอดหนี้หลังจบการศึกษาหรือเลิกการศึกษา ตัวอย่างเช่น ผู้กู้ยืมเรียนปีสุดท้ายปีการศึกษา 2563 ซึ่งจบการศึกษาช่วงกลางปี พ.ศ. 2564 จะมีระยะเวลาปลอดหนี้ 2 ปี ดังนั้น ผู้กู้ยืมจะครบกำหนดชำระหนี้ครั้งแรกในปี 2566 (5 กรกฎาคม 2566)

  • รายละเอียดเพิ่มเติม ...คลิก

จำนวนเงินดอกเบี้ยที่ปรากฏตามตาราง ได้คำนวณยอดไว้เป็นรายปี โดยนับจากวันที่ 5 ก.ค เป็นหลัก ดังนั้น หากการชำระหนี้ ที่ได้เกิดขึ้นก่อนวันที่ 5 ก.ค หรือชำระหนี้หลังวันที่ 5 ก.ค. ของแต่ละปี ยอดดอกเบี้ยที่ต้องชำระจริงจะเปลี่ยนแปลงไปตามจำนวนวันที่มาชำระหนี้
ซึ่งมีวิธีการคำนวณดอกเบี้ย ดังนี้

วิธีคำนวณดอกเบี้ย ยอดหนี้คงเหลือ X 1% (อัตราดอกเบี้ย) หาร 365 วัน **เท่ากับอัตราดอกเบี้ยจะเดินเป็นรายวันจนกว่าเงินต้นจะหมด
หมายเหตุ การชำระหนี้ก่อนกำหนดจะไม่สามารถยึดการผ่อนจ่ายตามตารางได้ เนื่องจากในการคำนวณหนี้ในตารางได้กำหนดวันจ่ายที่ 5 ก.ค ของทุกปี และได้มีการคิดนวณดอกเบี้ยเรียบร้อยแล้วทุกปี กรณีที่ผู้กู้จ่ายก่อนจะทำให้มีดอกเบี้ยที่เกินขึ้นน้อยกว่าในตาราง ให้ผู้จ่ายยอดตามหน้าระบบแทน 

ผู้กู้ยืมไม่มีเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษาครั้งเดียวได้ ประสงค์จะผ่อนชำระ สามารถทำได้ตามความประสงค์ ในระหว่างที่กองทุนฯ ยังไม่ได้ดำเนินการบังคับคดี  แต่หากกองทุนดำเนินการบังคับคดีตามกระบวนการทางกฎหมาย ผู้กู้ยืมต้องรับสภาพการบังคับคดีนั้นตามจำนวนหนี้ในคำพิพากษา

สามารถทำได้ โดยจำนวนเงินที่เกินยอดหนี้ที่ต้องชำระในแต่ละงวด ระบบจะนำไปลดยอดเงินต้น แต่ไม่ได้นำไปลดยอดเงินที่ต้องชำระในงวดต่อไป กล่าวคือ ผู้กู้ยืมยังคงมีหน้าที่ต้องชำระเงินในงวดต่อไปเต็มตามจำนวนที่กำหนดในตารางผ่อนชำระหนี้ แต่เงินจำนวนดังกล่าวจะถูกนำไปลดยอดเงินต้นในงวดสุดท้ายที่ผู้กู้ยืมจะต้องชำระ

กองทุนมีวิธีการคำนวณยอดแจ้งหักเงินเดือน ดังนี้ 

สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่มีงวดการชำระเป็นรายปี 

สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่มีงวดการชำระเป็นรายปีกองทุนจะนำงวดชำระรายปี มาคำนวณใหม่ให้เป็นรายเดือน โดยนำยอดหนี้ที่ต้องชำระในงวดปีถัดไปมาหาร 12 เดือน หรือจำนวนเดือนที่เหลือก่อนถึงวันครบกำหนดชำระในงวดถัดไป เช่น การหักเงินเดือนเพื่อชำระหนี้ในงวดวันที่ 5 กรกฎาคม ของทุกปี กองทุนจะแจ้งหักเงินเดือนโดยใช้ยอดหนี้ตามตารางผ่อนชำระรายปีงวด 2567 หารด้วยจำนวนเดือน (12 เดือน) ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีปัจจุบัน จนถึงเดือนมิถุนายนของปีถัดไป และในงวดปีถัดไปจะเริ่มหักเงินเดือนตั้งแต่เดือนกรกฎาคมของทุกปีจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้น

สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่มีงวดการชำระเป็นรายเดือน 

ตามที่ได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความก่อนฟ้องคดี หรือสัญญาประนีประนอมยอมความในศาล กองทุนจะแจ้งหักเงินดือนตามจำนวนที่ได้ตกลงไว้ทุกเดือน จนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้น

  1. กองทุนส่งหนังสือบอกเลิกสัญญากู้ยืม ให้ผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกันทราบ  และขอให้มีการชำระหนี้ หากผู้กู้ยืมไม่ชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนดอาจถูกดำเนินคดี
  2. บมจ.ธนาคารกรุงไทย ดำเนินการฟ้องคดีกับผู้กู้ยืม และผู้ค้ำประกันตามสัญญากู้ยืมเงิน (ผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกันจะได้รับหมายศาล)
  3. เมื่อศาลมีหมายนัด ผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกันต้องไปตามนัด โดยในวันนัดจะมีการไกล่เกลี่ยประนีประนอม
  4. ศาลพิพากษา  เมื่อศาลมีคำพิพากษา ผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกันจะต้องชำระหนี้ตามคำพิพากษานั้น

หากยังไม่มีการชำระหนี้ตามคำพิพากษา  กองทุนจะส่งคำบังคับให้ผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกัน  และจะทำการยึดทรัพย์ตามกฎหมายต่อไป

 ไม่สามารถดำเนินการได้ ผู้กู้ยืมจะต้องยื่นขอกู้ยืมเงินผ่านระบบ DSL ตั้งแต่ภาคเรียนที่ 1 เป็นต้นไป

ไม่ต้องใช้หนังสือรับรองรายได้ หนังสือรับรองรายได้ จะใช้ในกรณีที่ไม่มีหนังสือรับรองเงินเดือนจากต้นสังกัด

ให้พนักงานหรือลูกจ้างติดต่อกองทุนโดยตรง ผ่านช่องทางการติดต่อขององค์กรนายจ้างเบอร์โทรศัพท์ 02 080 5099 หรือไลน์บัญชีทางการ กยศ.หักเงินเดือน หรืออีเมล [email protected] เพื่อให้เจ้าหน้าที่แจ้งรายละเอียดแก่ผู้กู้ยืมเงินในการเข้าสู่ระบบการหักเงินเดือนผ่านองค์กรนายจ้าง

 

กองทุนมีนโยบายให้ผู้กู้ยืมเงินขอปรับเพิ่ม/ลด จำนวนเงินหักชำระผ่านนายจ้างได้ โดยสามารถยื่นคำขอด้วยตนเองผ่านแอปพลิเคชัน กยศ. Connect 

  • การขอผ่อนผันการชำระหนี้สามารถทำได้แต่จะต้องอยู่ในหลักเกณฑ์ที่ทางกองทุนฯ กำหนด

รายละเอียดการผ่อนผันการชำระหนี้ https://www.studentloan.or.th/th/highlight/1548649297

นักเรียน นักศึกษาต้องตรวจสอบสถานะการกู้ยืมของตนเองก่อน ซึ่งหากสถานศึกษาเดิมยังไม่ได้ดำเนินการขั้นตอนต่างๆในระบบ นักเรียน นักศึกษาสามารถยกเลิกได้ด้วยตนเอง แต่หากได้ดำเนินการแล้วให้เร่งแจ้งกับสถานศึกษายกเลิกการกู้ยืมเงินของตนเองโดยเร็ว เพื่อที่จะสามารถยื่นขอกู้ยืมเงินกับสถานศึกษาใหม่ ได้ภายในระยะเวลาที่กองทุนกำหนด 

ผู้กู้ยืมที่หยุดกู้ยืม แต่ยังคงศึกษาอยู่ จะต้องแจ้งสถานภาพการเป็นนักศึกษา ให้กองทุนทราบทุกปีจนกว่าจะจบการศึกษา ซึ่งหากไม่รายงานสถานภาพการศึกษาต่อกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาจะถือว่าผู้กู้ยืมเงินได้สำเร็จการศึกษาหรือเลิกศึกษาแล้ว และจะต้องเริ่มต้นชำระหนี้งวดแรกนับแต่วันที่สำเร็จการศึกษาหรือเลิกการศึกษาตามระเบียบ หลักเกณฑ์ ที่กองทุนกำหนด
 

ผู้บริหารสถานศึกษาต้องแจ้งการเสียชีวิตของผู้กู้ยืมทันทีที่ทราบ ให้ผู้บริหารและจัดการเงินให้กู้ยืมทราบภายใน 7 วันนับแต่วันที่แจ้ง พร้อมแนบหลักฐานดังนี้

  1. สำเนาใบมรณะบัตร 
  2. สำเนาทะเบียนบ้าน (ประทับตราว่า “ตาย”)
  3. สำเนาบัตรประชาชนผู้กู้ยืม (ถ้ามี)
    *สำเนาเอกสารทุกฉบับ ต้องรับรองสำเนาถูกต้องจากผู้ที่แจ้ง และนำส่งผู้บริหารและจัดการเงินให้กู้ยืม (บมจ.ธนาคารกรุงไทย และ/หรือ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย)
    **โดยกองทุนฯจะได้ทำการตรวจสอบและพิจารณา
    ระงับหนี้ เฉพาะในส่วนที่มีการโอนเงินให้กับผู้กู้ยืมก่อนที่จะเสียชีวิต แต่หากเป็นกรณีที่มีเงินโอนให้กับผู้กู้ยืมหลังจากวันที่ผู้กู้ยืมเสียชีวิต ทายาท/ผู้ปกครอง/ผู้ค้ำประกัน มีหน้าที่ที่จะต้องส่งเงินจำนวนดังกล่าวคืนให้แก่กองทุนฯ ต่อไป